คันโต

“Fantasy Springs” โซนใหม่ล่าสุดใน Tokyo DisneySea พร้อมเปิดให้บริการแล้วว!

โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) สวนสนุกยอดนิยมของเหล่าคนรักการผจญภัยเหนือจินตนาการในจังหวัดชิบะ (Chiba) ประเทศญี่ปุ่น เปิดโซนใหม่ล่าสุดที่ทุกคนตั้งตารอคอยในชื่อ “Fantasy Springs” ที่ประกอบด้วย 3 ธีมหลักจากภาพยนตร์ดิสนีย์ชื่อดังอย่าง Frozen, Tangled และ Peter Pan โดยมีกำหนดการเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับการสร้างโรงแรมแห่งใหม่ที่อำนวยความสะดวกให้เพื่อนๆ สามารถเดินเข้าสู่สวนสนุกแห่งนี้ได้ทันที!

เดิมที ทาง Oriental Land วางแผนไว้ว่าจะเปิดพื้นที่ Fantasy Springs ภายในปี 2023 แต่ได้ประกาศออกมาเลื่อนการเปิดเป็นปี 2024 ซึ่งสาเหตุมาจากผลกระทบของ Covid-19 ที่ทำให้การซื้อขายสินค้ารวมถึงระยะเวลาสำหรับก่อสร้างล่าช้าขึ้น

นอกจากนี้ ทาง Oriental Land ยังเปิดเผยอีกว่าเงินที่ต้องใช้ไปกับการลงทุนในพื้นที่ใหม่ก็เพิ่มขึ้นอีกกว่า 7 พันล้านเยน เนื่องจากค่าวัสดุและค่าแรงที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบของการที่ค่าเงินเยนอ่อนตัวลง

IMG BY : www.fashion-press.net/

ถือว่า Fantasy Springs เป็นโซนความสนุกลำดับที่ 8 ของ Tokyo DisneySea เป็นการขยายพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดและใช้เงินลงทุนสูงในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เปิดตัว Tokyo DisneySea มา โดยใช้ทุนการสร้างอยู่ที่ 2,500 ล้านเยน บนพื้นที่ทั้งหมด 140,000 ตารางเมตร

แนะนำบัตรเข้าชมโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ต (Tokyo Disney Resort)

สำหรับบัตรเข้าชมโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ตจะเป็นบัตรที่จะพาคุณไปเพลิดเพลินกับสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ที่รวมโซน Fantasy Springs เอาไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีทั้งโรงแรม ร้านค้า และสถานที่อื่น ๆ ที่พาคุณเพลิดเพลินได้ตลอดวัน หากสนใจก็สามารถคลิ๊กที่ปุ่มด้านล่างเพื่อดูรายละเอียดได้เลยค่ะ


ดูรายละเอียดได้ที่นี่

โซนใหม่ Fantasy Springs

ถูกสร้างขึ้นภายใต้ธีม “a world of Disney fantasy led by magical springs” หรือโลกแห่งจินตนาการของดิสนีย์ที่ถูกนำพาโดยฤดูใบไม้ผลิที่น่าอัศจรรย์ ภายในประกอบไปด้วย 3 โซนสุดแฟนตาซีในธีมภาพยนตร์ชื่อดังของวอลต์ดิสนีย์ ได้แก่ Frozen (ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ), Tangled (เจ้าหญิงราพันเซล) และ Peter Pan (ปีเตอร์ แพน แห่งดินแดนมหัศจรรย์)

นอกจากนั้นยังมีโรงแรมที่อยู่ในพื้นที่ของสวนสนุก โดยมีสวนเชื่อมต่อกัน มีจำนวน 475 ห้อง พร้อมห้องอาหาร 2 ห้อง เล้าจน์ และร้านขายของที่ระลึก ตัวโรงแรมจะแบ่งออกเป็น 2 อาคาร ได้แก่ Fantasy Chateau และ The Grand Chateau โดยห้องดีลักซ์ทั้งหมดจะอยู่ในอาคาร Fantasy Chateau ส่วนห้องที่อัปเกรดกว่าจะอยู่ใน The Grand Chateau


IMG BY : www.fashion-press.net/

Fantasy Springs’ Entrance

เริ่มจากทางเข้าโซนเลยค่ะ เมื่อทุกคนเดินเข้ามาเเล้วจะได้รับการต้อนรับจากน้ำพุมหัศจรรย์ที่มีหินรูปร่างของปีเตอร์แพน แอนนา เอลซ่า ราพันเซล และตัวละครอื่นๆ อีกมากมาย เเละไม่ได้มีแค่ทางเข้าเท่านั้นนะ ยังมีน้ำพุมหัศจรรย์ที่มีรูปร่างเป็นตัวละครดิสนีย์ถูกติดตั้งอยู่ทั่วบริเวณโซนนี้เลยแหละ



Frozen Kingdom

“Frozen Kingdom” หรือ “อาณาจักร Arendelle” ในช่วงเวลาหลังจากที่เอลซ่า ราชินีหิมะ ยอมรับเวทมนตร์แห่งน้ำแข็งเเละสามารถควบคุมพลังได้ ทำให้อาณาจักรแห่งนี้กลับมาอบอุ่นอีกครั้งและล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ตั้งแต่สะพานที่ทอดไปสู่ปราสาท รวมถึงทิวทัศน์เมืองและทะเลสาบที่มีผู้คนอาศัยอยู่

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโซนนี้ นั่นก็คือหน้าผาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและภูเขาของฟยอร์ดอยู่ไกลๆ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าครั้งหนึ่งเคยมีหิมะปกคลุมที่อาณาจักร Arendelle เเละถ้าสังเกตดีๆ ก็จะมองเห็นปราสาทน้ำแข็งของเอลซ่าเเละระเบียงที่เอลซ่ายืนร้องเพลงท่อนสุดท้ายของ “Let It Go” ด้วย

IMG BY : www.fashion-press.net/

เครื่องเล่น “Anna and Elsa’s Frozen Journey”

“Anna and Elsa’s Frozen Journey” เป็นเครื่องเล่นทางน้ำที่เราจะได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวสุดผจญภัยและอบอุ่นใจของสองพี่น้อง แอนนาเเละเอลซ่าที่ “รักแท้” สามารถละลายหัวใจที่เยือกแข็งได้ มาพร้อมกับบทเพลงประกอบในภาพยนต์ชื่อดัง อย่างเพลง “For the First Time in Forever” และเพลง “Love Is an Open Door”

ร้านอาหาร “Arendelle Royal Banquet”



ร้านอาหาร “Arendelle Royal Banquet” เปิดให้บริการเป็นร้านอาหารรูปแบบเคาน์เตอร์เซอร์วิสภายในปราสาท Arendelle โดยมีที่นั่งประมาณ 570 ที่นั่ง การออกแบบของร้านอาหารชวนให้เราจินตนาการว่าเป็นแขกที่ถูกเชิญมางานเลี้ยง ต้อนรับการเปิดพระราชวังยังไงอย่างงั้นเลย เเละถ้าหากยังดื่มด่ำบรรยากาศภายในปราสาทไม่จุใจละก็ ที่นี่ยังมีพื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งให้ทุกคนได้ชมทิวทัศน์ของหน้าผาฟยอร์ดและภูเขาในระยะไกลอีกด้วย

ภายในร้านอาหารก็ยังเต็มไปด้วยงานศิลปะ ของตกแต่งต่างๆ หรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับตัวละครที่ปรากฏในภาพยนตร์ให้เราได้ชมพลางรับประทานอาหารไปด้วย อย่างเช่นภาพวาดมากมายที่ปรากฏในฉากที่แอนนาร้องเพลง “For the First Time in Forever”



แม้แต่เมนูชุดอาหารกลางวันเเละอาหารเย็นของเอง ก็น่ารับประทานไม่แพ้กันค่ะ
ชุดเมนูอาหารแนะนำของที่นี่คือ “Arendelle Royal Set”

นอกจากนี้ยังมีร้าน “Oken’s OK Foods” ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ดำเนินการโดย Oken เจ้าของกระท่อมร้านขายของชำบนภูเขาที่มีบริการห้องซาวน่าที่ปรากฏในภาพยนตร์ เมนูเด่นของร้านนี้คือ “ขนมปัง Fufu ของ Oken” ซึ่งเป็นการดัดแปลงมาจากขนม ”Cardamom Rolls” สูตรพิเศษของสแกนดิเนเวีย ขนมปังเนื้อนุ่มปรุงรสด้วยกระวานและยัดไส้ด้วยเนื้อที่ผ่านการปรุงด้วยเครื่องเทศสแกนดิเนเวีย ตบท้ายด้วยแยมแอปเปิ้ลเบอร์รี่

แนะนำของที่ระลึก




IMG BY : www.fashion-press.net/

Rapunzel’s Forest


แปลเป็นภาษาไทยในชื่อโซน “ผืนป่าของราพันเซล” แน่นอนว่าอย่างแรกที่เราจะสะดุดตาก่อนเลยคือหอคอยอันสูงเสียดฟ้าที่มีราพันเซลอาศัยอยู่ค่ะ เมื่อตกเย็นทุกคนจะได้เห็นแสงไฟส่องสว่างจากบนหอคอยยาวมาจนถึงตะเกียงที่เรียงรายไปตามทางเดิน ร้านอาหาร เเละโรงเก็บเรือ รวมถึงแสงสว่างจากโคมไฟที่ห้อยตรงเรือด้วย ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยแสงระเรื่ออันอบอุ่นสวยงามไม่แพ้ตอนกลางวันเลยละค่ะ


จากยอดหอคอยบนปราสาท หากเพื่อนๆ ลองมองดูให้ดีๆ ยังสามารถมองเห็นราพันเซลโน้มตัวลงมาและมองทอดสายตาออกไปเบื้องหน้าที่ไกลสุดตา ด้วยสีหน้าเหมือนฝัน เธอกำลังร้องเพลง “Door to Freedom” และเสียงร้องของราพันเซลก็ก้องดังไปทั่วทั้งบริเวณหอคอยแห่งนี้

เครื่องเล่น “Rapunzel’s Lantern Festival”


“Rapunzel’s Lantern Festival” เป็นเครื่องเล่นทางน้ำ ที่บรรยายการเดินทางโดยเรือระหว่างราพันเซลและโจรซ่าจอมเเสบ พระเอกของเรื่อง ไปยังประสาทที่พระราชาและราชินี จะจุดโคมลอยเป็นประจำทุกปีในวันเกิดของเจ้าหญิงเพื่อระลึกถึงเจ้าหญิงที่หายไป ในระหว่างที่เรานั่งล่องเรือไปนั้น จะทำให้เราหวนนึกถึงการผจญภัยเเละความรักระหว่างราพันเซลเเละฟลินน์ ไรเดอร์ รู้ตัวอีกทีคือรอบตัวเราจะถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติกเเละโคมลอยที่ส่องแสงจำนวนนับไม่ถ้วน พร้อมกับเพลง “I see the light” ที่เปิดคลอไปด้วย บรรยากาศอินไปกับเรื่องราวความรักของทั้งสองคนแบบสุดๆ เลยค่ะ


IMG BY : www.fashion-press.net/

ร้านอาหาร “Snuggly Duckling”

ร้านอาหาร “Snuggly Duckling” เชื่อว่าหลายๆคน ที่เคยดู Tangled คงจำกันได้ดีกับร้าน “Snuggly Duckling” เพราะเป็นร้านที่ปรากฎในภาพยนตร์ที่ซึ่งราพันเซลได้พบกับเหล่าอันธพาลที่ต่างมีความฝันเเละได้ร่วมร้องเพลงกับพวกเขาอย่างสนุกสนาน

ร้าน “Snuggly Duckling” เป็นร้านอาหารแบบเคาน์เตอร์เซอร์วิส มีที่นั่งประมาณ 620 ที่นั่ง บรรยากาศเเละกลิ่นอายภายในร้านเรียกได้ว่าไม่ต่างกับฉากในภาพยนตร์เลย เช่น พื้นที่จำลองของบาร์ หรือแม้แต่คอกม้า



เมนูชุดอาหารกลางวันเเละอาหารเย็นของเอง ก็น่ารับประทานไม่แพ้กันค่ะ
ชุดเมนูอาหารแนะนำของที่นี่คือ “Duckling Dream Cheeseburger” แฮมเบอร์เกอร์ชีสที่มีทั้งเนื้อเเละไส้กรอกชุ่มฉ่ำ

และ “Sweets Ever After” พายอบที่โปะด้วยครีมซอสเลมอนเเละสตรอว์เบอร์รีลูกโตๆ เป็นของหวานที่ตั้งชื่อตามคำพูดของราพันเซลในตอนท้ายของภาพยนตร์ว่า “เเละเราก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป”

IMG BY : www.fashion-press.net/

แนะนำของที่ระลึก





IMG BY : www.fashion-press.net/

Peter Pan’s Neverland


“Peter Pan’s Neverland” ดินแดนเนเวอร์เเลนด์ ดินแดนอันเลื่องชื่อของเหล่าเด็กที่ไม่มีวันโต ที่เฝ้ารอเหล่านักผจญภัยอย่างเพื่อนๆ ให้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งเด็กหลงทาง หรือ “Lost Kids” และสามารถเพลิดเพลินไปกับการผจญภัยในเนเวอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินชมรอบๆ เรือโจรสลัดขนาดใหญ่, หินกระโหลก, การเผชิญหน้ากับโจรสลัด, Pixie Hollow หุบเขาแห่งนางฟ้าที่ทิงเกอร์เบลล์อาศัยอยู่ เเละหมู่บ้านชาวอินเดียแดงที่อยู่อาศัยของไทเกอร์ลิลลี่ เป็นต้น





เครื่องเล่น “Peter Pan’s Neverland Adventure”


เครื่องเล่น “Peter Pan’s Neverland Adventure” เป็นเครื่องเล่นเเนว 3 มิติที่เราจะได้แล่นอยู่บนเรือ ผจญภัยไปกับเรื่องราวของ ปีเตอร์แพนและทิงเกอร์เบลล์ในการช่วยเหลือจอห์น น้องชายของเวนดี้ ที่ถูกกัปตันฮุคและโจรสลัดลักพาตัวไปไว้ที่เนเวอร์แลนด์ นอกจากนั้นความมหัศจรรย์ในระหว่างการล่องเรือคือเมื่อไรก็ตามที่ทิงเกอร์เบลล์โรยผงวิเศษนางฟ้า หรือ Pixie dust เรือเหล่านั้นก็จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วย



เครื่องเล่น “Fairy Tinker Bell’s Busy Buggies”


“Fairy Tinker Bell’s Busy Buggies” ใน Pixie Hollow หุบเขาแห่งนางฟ้า เพื่อนๆจะได้เห็นแต่ละขั้นตอนของนางฟ้าในการช่วยทิงเกอร์เบลล์ส่งพัสดุไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งสี่ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว เเละที่สำคัญคือเมื่อทุกคนเหยียบเข้ามาในโซนนี้เเล้ว ทุกคนจะรู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกย่อส่วนให้เล็กลงเท่ากับนางฟ้าเลยล่ะ




IMG BY : www.fashion-press.net/

ร้านอาหาร “Look out Cookout”


ร้านอาหารแนะนำในโซนนี้ ชื่อร้านว่า “Look out Cookout” เป็นร้านอาหารแบบบริการตนเองที่มีที่นั่งราว 200 ที่นั่ง เปรียบเสมือนกับที่ซ่อนของพวกเด็กหลงทาง Lost Boys ทั้ง 6 คน เเละถ้าหากมองไปรอบๆ ร้านเราจะเห็นว่ามีซากเรือและวัตถุลอยน้ำอยู่มากมาย ซึ่งทำให้ได้บรรยากาศเหมือนเราอยู่ดินแดนเนเวอร์แลนด์จริงๆ


เมนูชุดอาหารทานเล่นของที่นี่เอง ก็น่ารับประทานไม่แพ้กันค่ะ
ชุดเมนูอาหารแนะนำของที่นี่คือ “Lost Kids Snack Box” ภายในเซ็ทจะมีกล้วยทอด กุ้งทอด และอื่นๆ อีกมากมาย เหมาะที่จะนำมาทานขณะชมทิวทัศน์ของเนเวอร์แลนด์ไปด้วย

ป๊อปคอร์นรสชาติใหม่


ป๊อปคอร์นรสเนื้อย่างจะมีจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่ Tokyo Disney Resort โดยเราสามารถไปสัมผัสความหอมของเนื้อย่างและน้ำเกรวี่ได้ตามจุดขายป๊อปคอร์นที่มีลักษณะเป็นเกวียนคล้ายเรือที่ทำจากกระดานเก่าหลากสี โดยตัวเกวียนคล้ายเรือนี้ได้รับการตกแต่งด้วยภาพประกอบที่ดูเหมือนภาพวาด โดยกลุ่มเด็กหลงทาง “Lost Kids” ในเรื่องปีเตอร์แพน

IMG BY : www.fashion-press.net/

แนะนำของที่ระลึก




IMG BY : www.fashion-press.net/

“Disney Hotel “Tokyo DisneySea Fantasy Springs Hotel”


โซนสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำคือโรงแรมดิสนีย์แห่งที่ 6 ในญี่ปุ่น “Tokyo DisneySea Fantasy Springs Hotel” ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำพุมหัศจรรย์ของโซน Fantasy Springs เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้อยู่ภายในสวนสนุกเลย ดังนั้นจึงสามารถเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเยี่ยมชมหรือเข้าพักหลังจากเดินเที่ยวในสวนสนุกมาทั้งวันได้

ประเภทห้องพัก

ประเภทห้องพักจะแบ่งตัวอาคารออกเป็น 2 อาคาร คือ อาคารดีลักซ์ “Fantasy Chateau” ซึ่งภายในห้องพักจะตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ สัตว์ และน้ำพุมหัศจรรย์ เเละอีกอาคารคือ “Grand Chateau” ซึ่งจะให้บริการที่พักในคุณภาพสูงสุด นอกจากนั้นตำแหน่งแต่ละประเภทของห้องยังแบ่งออกเป็น 4 ฝั่งได้แก่ ฝั่งบริเวณอ่าว ฝั่งทางเข้าโรงแรม ฝั่งสวนไม้ และฝั่งน้ำพุ

จากห้องพักทั้งหมด 475 ห้อง โดย 419 ห้อง เป็นห้องพักแบบ “Fantasy Chateau” และ 56 ห้อง เป็นห้องพักแบบ “Grand Chateau” แต่เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของ Fantasy Springs ได้จากระเบียงของห้องพักทุกห้องเลย เเละที่ดีไปกว่านั้นคือราคาห้องพักได้รวมตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวและตั๋วชมการแสดงต่างๆ ไว้เรียบร้อยเเล้วด้วย

“Fantasy Chateau”


“Fantasy Chateau” เป็นห้องพักที่ตกแต่งวอลเปเปอร์และแสงไฟในห้องพักด้วยลวดลายดอกไม้และตัวละครจากภาพยนตร์ดิสนีย์ เช่น “Tangled” และ “Bambi” เป็นต้น


ประเภทห้องพักที่พบบ่อยที่สุดของ “Fantasy Chateau” คือห้อง Superior Alcove นอกจากเตียงธรรมดา 2 เตียงแล้ว ยังมีเตียงเลื่อนแบบดึงออกได้ 1 เตียง และเตียงโค้ง 1 เตียงที่ตั้งอยู่ในช่องบนผนัง





เลานจ์ที่ “Fantasy Chateau” ยังตกแต่งด้วยพืชและสัตว์ใน Fantasy Springs ลวดลายฤดูใบไม้ผลิที่มีมนต์ขลัง และภาพวาดที่แสดงถึงเจ้าหญิงดิสนีย์ แสงไฟเป็นรูปดอกไม้ และเพดานตกแต่งด้วยต้นไม้คล้ายไม้เลื้อย สร้างบรรยากาศที่สดใสที่จะทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกสดชื่น เบิกบานใจ

“Grand Chateau”


“Grand Chateau” ตกแต่งด้วยสไตล์ห้องพักที่เรียบหรู มีจำนวนห้องพักที่น้อยกว่า เหมาะสำหรับกลุ่มคนที่มีความต้องการพื้นที่ความเป็นส่วนตัว


ภายในห้องพักรวมถึงเตียงนั้นเต็มไปด้วยการตกแต่งที่เพิ่มความเก๋ไก๋ให้กับการเข้าพักของคุณ เช่น เครือเถาสามมิติและภาพการ์ตูนปิดทอง จากระเบียงและเฉลียงที่อยู่ติดกับห้องพักทุกห้อง คุณสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพราวกับว่าคุณอยู่ในโลกแฟนตาซีของดิสนีย์เพียงลำพัง


IMG BY : www.fashion-press.net/

ห้องอาหาร

ห้องอาหารของโรงแรมจะมีทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน ซึ่งต่างหันหน้าไปทางสวนสาธารณะ ได้แก่

1. Fantasy Springs Restaurant

ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน




2. Grand Paradis Lounge

ล็อบบี้เลานจ์ที่หันหน้าไปทางแฟนตาซีสปริงส์ สามารถเพลิดเพลินกับมื้ออาหารพร้อมชมทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ได้

3. La Liberure

ร้านอาหารฝรั่งเศสที่คัดสรรมาวัตถุดิบมาอย่างดีโดยเชฟ เเละให้บริการเฉพาะแขกที่เข้าพักที่ “Grand Chateau” เท่านั้น


ร้านขายของที่ระลึก

ร้านขายของที่ระลึกในโซนนี้จะมีอยู่ 2 แห่งด้วยกันคือ “Fantasy Springs Gifts” เเละ “Springs Treasures” โดยร้านแรกจะตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ของโรงแรม Tokyo DisneySea Fantasy Springs โดยสินค้าหลักที่จำหน่ายได้แก่ สินค้าในกลุ่ม “Frozen” “Tangles” และ “Peter Pan”





ส่วนร้านที่สองนั้นจะตั้งอยู่ริมทางเดินบริเวณโซน Arabian Coast สิรค้าที่จำหน่ายจะเป็นหลากหลายประเภท เช่น สินค้าในกลุ่ม Disney Princess ทั้ง “มู่หลาน” “สโนว์ไวท์” “ซินเดอเรลล่า” “อะลาดิน กับ ตะเกียงวิเศษ” เป็นต้น



IMG BY : www.fashion-press.net/

วิธีการเข้าชม

ช้ตั๋วเข้า Tokyo DisneySea park พร้อมกับบัตร Standby Pass (ไม่เสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม) หรือ Disney Premier Access (เสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม) อย่างใดอย่างหนึ่ง

บัตร Standby Pass เเละ Disney Premier Access

หลังจากเข้าสู่สวนสนุก ผู้เยี่ยมชมต้องกดรับบัตรประเภทใดประเภทหนึ่งนี้ผ่านแอพ Tokyo Disney Resort โดยผู้เยี่ยมชมจะต้องระบุเวลาในการเยี่ยมชมโซนต่างๆ เมื่อใช้บริการนี้
บัตร Disney Premier Access และ Standby Pass มีจำหน่ายในจำนวนจำกัดในแต่ละวัน ความแตกต่างของบัตรสองประเภทนี้ก็คือ บัตร Disney Premier Access เวลาในการต่อคิวจะน้อยกว่า


ดูรายละเอียดได้ที่นี่

Pick up


บทความแนะนำ

  1. เพลิดเพลินไปกับซากุระที่เกียวโต แนะนำสถานที่ชมดอกไม้ เครื่องแต่งกายและโรงแรมที่ใกล้กับสถานที่ชมดอกไม้

  2. แนะนําสถานที่ชมดอกไม้ในภูมิภาคกลางและตะวันตกของญี่ปุ่น

  3. แนะนำ 10 เทศกาลน่าสนใจในญี่ปุ่นช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบาย เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบชิลๆ

บทความล่าสุด

  1. 10 ของฝากจากจังหวัดมิยางิ ที่หาซื้อได้ที่สถานีเซนได!

  2. สวนเคมะ ซากุระโนะมิยะ (Kema Sakuranomiya Park) หนึ่งในจุดชมซากุระยอดฮิตในโอซาก้า

  3. ชมเทศกาลชิบะซากุระกับฟูจิ โมโตสุโกะรีสอร์ทในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

  4. สวนซึรุมิ เรียวคุจิ (Tsurumi Ryokuji Park) กับบรรยากาศอันสวยงามที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

  5. แนะนำช่วงเวลาและสถานที่ชมใบไม้ผลิในภูมิภาคคันโต

  6. แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) จุดชมดอกซากุระยอดนิยมอันงดงามในกรุงโตเกียว

  7. มาชมซากุระในวัดเซ็นโซจิ หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของกรุงโตเกียว

  8. แนะนำช่วงเวลาและสถานที่ชมใบไม้ผลิในภูมิภาคคิวชู

  9. Osaka Expo 2025 เพลิดเพลินไปกับงานนิทรรศกาลที่โอซาก้าอย่างเต็มที่

  10. ไคซึ โอซากิ (Kaizu Osaki) รับชมซากุระอันสวยงามริมทะเลสาบบิวะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

TOP